ฝึกฝนฝีมือกับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่
ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์ เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่เมือง Montauban ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี 1780 พ่อของเขาเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลายอย่างทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม รวมไปถึงดนตรี แต่ไม่มีด้านไหนที่โดดเด่น แอ็งกร์ได้รับการถ่ายทอดฝีมือและการสนับสนุนด้านการเรียนศิลปะมาแต่เด็ก ปี 1791 แอ็งกร์เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะที่เมือง Toulouse เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดของการเขียนภาพในสมัยนั้น และเริ่มฉายแววการเป็นจิตรกรผู้โดดเด่นด้วยการได้รับรางวัลที่ 1 ในการวาดภาพลายเส้นของสถาบัน
ปี 1797 แอ็งกร์เดินทางไปศึกษาศิลปะต่อที่กรุงปารีสในสตูดิโอของ Jacques-Louis David ซึ่งเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคนั้น เขาฝึกฝนฝีมืออยู่กับ David นาน 4 ปี เป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนอื่น ปี 1799 แอ็งกร์ได้เข้าเรียนที่ École des Beaux-Arts สถาบันศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฝรั่งเศส และในปี 1801 เขาชนะการแข่งขัน Prix de Rome ได้รับทุนไปศึกษาศิลปะที่กรุงโรมนาน 4 ปีด้วยภาพ The Ambassadors of Agamemnon in the tent of Achilles แต่ทางสถาบันมีปัญหาด้านการเงินทำให้เขาต้องรอนานหลายปีกว่าจะได้เดินทางไปอิตาลี
สร้างสุดยอดผลงานแต่ไร้คนชื่นชม
ระหว่างที่รอเขาได้รับงานเขียนภาพพร้อมกับพัฒนาฝีมือโดยนำเอาเทคนิคที่ศึกษาจากภาพเขียนยุคเรอเนสซองส์ผสมผสานกับสิ่งที่เรียนรู้จาก David กลายเป็นสไตล์เฉพาะตัวซึ่งปรากฏในผลงานชั้นยอดชิ้นแรกๆคือภาพ Napoleon I on his Imperial Throne และในช่วงเวลานี้แอ็งกร์ได้เขียนภาพเหมือนบุคคลจำนวนมากด้วยฝีมืออันประณีตโดยเฉพาะอย่างยิ่งความโดดเด่นในรายละเอียดของเสื้อผ้าอันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขากลายเป็นจิตรกรเขียนภาพเหมือนบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในศตวรรษที่ 19 แต่ผลงานของแอ็งกร์ที่นำไปแสดงในงานนิทรรศการศิลปะ Salon กลับไม่ได้รับความชื่นชมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าทำให้งานศิลปะถดถอยไปถึง 4 ศตวรรษ
แอ็งกร์เดินทางไปกรุงโรมในปี 1806 ระหว่างศึกษาที่สถาบัน Académie de France ในกรุงโรมแอ็งกร์ส่งภาพเขียนกลับมายังปารีสเพื่อประเมินความก้าวหน้าตามข้อกำหนดของนักเรียนทุน หลายภาพที่เขาส่งมาเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่กลายเป็นภาพดังในเวลาต่อมา ซึ่งรวมทั้งภาพ The Valpinçon Bather และภาพ Jupiter and Thetis แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของนักวิชาการและนักวิจารณ์ที่ปารีส สาธารณชนก็ไม่สนใจไยดีกับผลงานของเขา เพื่อนศิลปินบางคนที่เคร่งครัดในแบบแผนของศิลปะคลาสสิกมองเขาเป็นพวกขบถ ผลงานที่ตามมาอีกหลายชิ้นอย่างเช่นภาพ Don Pedro of Toledo Kissing the Sword of Henry IV และ Raphael and the Fornarina รวมทั้งภาพเหมือนอีกหลายภาพที่ส่งไปจัดแสดงใน Salon ยังคงถูกวิจารณ์หยามเหยียดในเชิงลบอย่างต่อเนื่อง นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอ็งกร์ไม่กลับปารีสเมื่อเรียนจบ
นักเรียนทุนผู้ฝังรากลึกอยู่ในอิตาลี
หลังจบการศึกษาในปี 1811 แอ็งกร์ยังทำงานเขียนภาพที่โรมต่ออีกระยะหนึ่ง เป็นโอกาสที่เขาได้รับงานเขียนภาพแนวประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ที่เขาใฝ่ฝันหลายภาพ ได้แก่ภาพ Romulus’ Victory Over Acron และ The Dream of Ossian ซึ่งใช้ประดับในปราสาทที่เตรียมไว้รับรองจักรพรรดินโปเลียน หลังจากนั้นในปี 1814 แอ็งกร์เดินทางไปเมืองเนเปิลส์เพื่อเขียนภาพให้ Joachim Murat กษัตริย์แห่งเนเปิลส์ผู้เป็นน้องเขยของนโปเลียน เขาเขียนภาพให้กษัตริย์ Murat หลายภาพรวมทั้งภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาคือภาพ Grande Odalisque โดยที่เขาไม่ได้รับค่าจ้างเลยเนื่องจาก Murat ถูกประหารชีวิตในปี 1815 หลังการล่มสลายของนโปเลียน
2 – 3 ปีถัดมาเป็นช่วงตกต่ำของแอ็งกร์เนื่องจากไม่มีงานชิ้นใหญ่ทำ ศิลปินผู้ปรารถนาจะมีชื่อเสียงในฐานะจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์จึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการวาดภาพเหมือนด้วยดินสอให้แก่นักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามแอ็งกร์ยังคงส่งผลงานของเขาไปแสดงในนิทรรศการ Salon ที่กรุงปารีสอยู่เรื่อยๆหวังว่าจะได้แจ้งเกิดที่นั่นเสียที ปี 1819 เขาส่งภาพ Grande Odalisque และ Roger Freeing Angelica ไปแสดงใน Salon และก็เหมือนเช่นเคยถูกวิจารณ์ยับ
ปี 1820 แอ็งกร์ย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ แรกๆยังอาศัยการเขียนภาพเหมือนและภาพวาดลายเส้นเพื่อยังชีพเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนโชคชะตาเขาเริ่มดีขึ้น แอ็งกร์เริ่มขายภาพเขียนชิ้นใหญ่ได้ และแล้วโอกาสสำคัญก็มาถึงเมื่อเขาได้รับการจ้างเขียนภาพให้กับวิหารที่เมือง Montauban แอ็งกร์ใช้เวลา 4 ปีเขียนภาพ The Vow of Louis XIII ผลงานออกมางดงามสมบูรณ์แบบ ภาพถูกนำไปแสดงใน Salon ปี 1824 และได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์งานศิลปะอย่างมาก แอ็งกร์แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับผลงานชิ้นนี้
ปรมาจารย์สอนศิลปะหลายสถาบัน
ภาพ The Vow of Louis XIII สร้างชื่อเสียงให้กับแอ็งกร์อย่างสูง เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากกษัตริย์ของฝรั่งเศสและได้รับเลือกเป็นสมาชิกอันทรงเกียรติของสถาบัน École des Beaux-Arts แอ็งกร์ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่ฝรั่งเศส เขาเปิดสตูดิโอสอนการเขียนภาพในกรุงปารีสซึ่งได้กลายเป็นสตูดิโอที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดอย่างรวดเร็ว ชื่อเสียงของแอ็งกร์ยิ่งเลื่องลือมากขึ้นเมื่อผลงานชั้นยอดของเขาทยอยออกมาสู่สายตาผู้ชม อย่างเช่นภาพ The Apotheosis of Homer ในปี 1827 และภาพ Portrait of Monsieur Bertin ในปี 1832 ตลอดหลายสิบปีของการสร้างผลงานและชื่อเสียงแอ็งกร์ต้องขับเคี่ยวประชันขันแข่งกับสุดยอดศิลปินอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงเวลาใกล้ๆกันคือ Eugène Delacroix ผู้ซึ่งมีสไตล์การเขียนภาพต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง
แอ็งกร์รับตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่สถาบัน École des Beaux-Arts ตั้งแต่ปี 1829 และปลายปี 1833 เขาได้รับเลือกให้เป็นอธิการบดีของสถาบันสำหรับปีถัดไป อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นแอ็งกร์ถูกกล่าวหาว่าครอบงำศิลปะโดยพยายามกำหนดสไตล์ส่วนตัวของเขาให้กับโรงเรียนสอนเขียนภาพในฝรั่งเศสทั้งหมด ตามมาด้วยการถูกโจมตีอย่างหนักจากนักวิจารณ์ฝ่ายซ้ายเมื่อเขาแสดงผลงานภาพแนวศาสนา Martyrdom of Saint-Symphorien ใน Salon ปี 1834 ปลายปีเดียวกันแอ็งกร์กลับไปอยู่ที่อิตาลีอีกครั้งในฐานะผู้อำนวยการของสถาบัน Académie de France ที่กรุงโรม ช่วงเวลา 6 ปีในตำแหน่งนี้เขาทุ่มเททำงานให้กับสถาบันอย่างเต็มที่จึงมีผลงานการเขียนภาพน้อยมากแต่ทว่าทุกภาพล้วนเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมซึ่งได้แก่ภาพ Odalisque with Slave และ Antiochus and Stratonice แอ็งกร์กลับมาอยู่ที่ปารีสในปี 1841 คราวนี้เขาเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบัน École des Beaux-Arts อย่างยาวนานพร้อมกับการสร้างผลงานภาพเขียนตามแนวทางของตัวเองต่อไป
ชีวิตเปลี่ยนแปลงพลิกผันในวัยใกล้ฝั่ง
แอ็งกร์เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่เมื่อ Madeleine Chapelle ภรรยาที่แต่งงานอยู่กินกันมา 36 ปีเสียชีวิตในปี 1849 ซึ่งทำให้เขาไม่มีกำลังใจและหมดไฟในการสร้างสรรค์งานศิลปะ งานที่ทำค้างอยู่ก็ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ ปี 1851 เขาลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่สถาบัน École des Beaux-Arts และประกาศมอบผลงานของเขาให้กับเมือง Montauban ซึ่งเป็นบ้านเกิด ดูเหมือนว่าเขาจะวางมือทุกอย่างแต่แล้วในปี 1852 เกิดเหตุการณ์พลิกผัน แอ็งกร์ในวัย 71 ปีได้แต่งงานกับ Delphine Ramel สาวใหญ่วัย 43 ปี ทำให้เขากลับมามีไฟในการทำงานศิลปะอีกครั้ง และเขาได้สร้างผลงานชั้นยอดจำนวนมากมายในช่วงทศวรรษต่อมา
ปี 1856 แอ็งกร์นำภาพ The Source ซึ่งเขาทำค้างไว้ตั้งแต่ปี 1820 มาทำต่อจนเสร็จสมบูรณ์กลายเป็นหนึ่งในภาพผู้หญิงเปลือยที่สวยงามที่สุด และเขียนภาพ Madame Moitessier ที่เริ่มทำตั้งแต่ปี 1844 จนเสร็จสมบูรณ์ในปีเดียวกัน ปี 1862 แอ็งกร์สร้างผลงานชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายคือภาพ The Turkish Bath ซึ่งเป็นภาพที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินดังรุ่นหลังหลายคน แอ็งกร์เสียชีวิตในปี 1867 มีอายุ 86 ปี เขาทำพินัยกรรมยกผลงานของเขาที่ประกอบด้วยภาพเขียนสำคัญจำนวนมากและภาพวาดลายเส้นอีกกว่า 4,000 ชิ้นให้แก่พิพิธภัณฑ์แห่งเมือง Montauban ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า Musée Ingres
ผลงานอมตะของสุดยอดศิลปินแห่งยุค
แอ็งกร์ใฝ่ฝันที่จะเป็นจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยังเด็กซึ่งเขาก็ทำได้ดีมีผลงานภาพเขียนแนวประวัติศาสตร์และศาสนาชั้นยอดมากมาย แต่ผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกลับเป็นภาพเหมือนบุคคลซึ่งเขาได้รับการยกย่องเป็นสุดยอดจิตรกรเขียนภาพเหมือนแห่งศตวรรษที่ 19 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพผู้หญิงเปลือยของเขานั้นมีความงดงามชวนตะลึงมากที่สุด และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมอันเป็นอมตะเหล่านั้น
Nude Paintings
Portraits and Self Portraits
History and Mythological Paintings
Religious Paintings
Drawing and Sketch
แอ็งกร์ครองความยิ่งใหญ่ในฐานะเป็นสุดยอดศิลปินแห่งยุคอย่างยาวนาน ผลงานของเขาช่วยเชิดชูศิลปะนีโอคลาสสิกให้ได้รับความนิยมต่อเนื่องจากยุคของ Jacques-Louis David ผู้เป็นต้นแบบ การจากไปของเขานับเป็นจุดสิ้นสุดของความนิยมการเขียนภาพประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แอ็งกร์เป็นหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 19 และยังมีอิทธิพลต่อศิลปินดังยุคศตวรรษที่ 20 อีกจำนวนมาก รวมทั้ง Pierre-Auguste Renoir, Pablo Picasso และ Henri Matisse แม้ตัวแอ็งกร์เองคิดว่าเขาเป็นจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับคิดว่าภาพเหมือนบุคคลและภาพผู้หญิงเปลือยคือมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, britannica, jeanaugustedominiqueingres.org