1. เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci)
ดา วินชี เป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งยุคเรอเนสซองส์ เกิดที่หมู่บ้าน Vinci ใกล้เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1452 เขาเติบโตและเรียนศิลปะที่บ้านเกิดจนมีอายุได้ 20 ปีจึงได้เป็นศิลปินมืออาชีพอย่างเต็มตัว เริ่มมีผลงานที่ฉายแววความเป็นอัฉริยะด้านศิลปะด้วยภาพ Adoration of the Magi ก่อนที่จะออกจากฟลอเรนซ์ไปอยู่ที่เมืองมิลานในปี 1482 ดา วินชี ทำงานอยู่ที่มิลานนานถึง 17 ปี พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดมากมาย รวมทั้ง The Last Supper, Virgin of the Rocks, Lady with an Ermine และ Vitruvian Man ที่เป็นหนึ่งในบรรดาภาพสเก็ตช์อันลือลั่นซึ่งเป็นความสามารถที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวยากจะมีใครเทียบได้
ปี 1503 ดา วินชี กลับมาอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์อีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ได้สร้างผลงานภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ‘Mona Lisa’ เขาใช้เวลาในการเขียนภาพสุดพิเศษนี้นานหลายปี ในปี 1515 ดา วินชี เดินทางไปกรุงปารีสเพื่อรับตำแหน่งจิตรกรเอกและวิศวกรของราชสำนักฝรั่งเศส พร้อมกับหิ้วภาพสุดรักสุดหวงที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ไปด้วย แล้วไม่ได้กลับมาที่อิตาลีอีกเลย
ดา วินชี เสียชีวิตในปี 1519 มีอายุรวม 67 ปี ทิ้งผลงานชั้นยอดไว้มากมายทั้งผลงานด้านศิลปะและด้านวิทยาศาสตร์ ดา วินชี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รอบรู้ เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆเกือบทุกสาขา เป็นศิลปินเอก นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ ฯลฯ เขาคือ ‘บุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์’ อย่างแท้จริง
10 ผลงานชิ้นเอกของเลโอนาร์โด ดา วินชี
2. ปาโบล ปีกัสโซ (Pablo Picasso)
ปีกัสโซ เป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งศิลปะสมัยใหม่ เกิดเมื่อปี 1881 ที่เมืองมาลากา ประเทศสเปน เขาเติบโตและเรียนหนังสือในสเปน แต่ไปปักหลักอาศัยอยู่ที่ปารีสอย่างถาวรตั้งแต่ปี 1900 ผลงานของปีกัสโซมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามห้วงเวลาในช่วงชีวิตและแนวคิดในการสร้างสรรค์ ช่วงแรกเรียกว่ายุคสีน้ำเงิน (Blue Period) ใช้สีฟ้ากับฟ้าอมเขียวเป็นหลัก ภาพออกมาในโทนหม่นหมองเศร้าซึม ภาพที่โดดเด่นในยุคนี้ได้แก่ The Old Guitarist และ La Vie ถัดมาเป็นยุคสีชมพู (Rose Period) ภาพจะมีสีสันสดใสมากขึ้นด้วยสีส้มและสีชมพู มักจะมีลายข้าวหลามตัดและนักแสดงละครสัตว์เป็นส่วนประกอบ ภาพเด่นยุคนี้คือ Boy with a Pipe และ Family of Saltimbanques
ปี 1907 ปีกัสโซได้เปลี่ยนสไตล์ด้วยการเขียนภาพ Les Demoiselles d’Avignon ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแอฟริกา ซึ่งนำไปสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะสมัยใหม่ในยุคต่อมาคือศิลปะแบบคิวบิสม์ (Cubism) ผลงานสำคัญของปีกัสโซในยุคนี้ได้แก่ Three Musicians และ Girl before a Mirror ในปี 1937 ปีกัสโซได้เขียนภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ‘Guernica’ ซึ่งนำเสนอภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนความโหดร้ายและความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอันเป็นผลพวงจากสงคราม
ปีกัสโซได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินเอกของโลกตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสได้ชื่นชมกับความสำเร็จของตัวเอง ได้ใช้ชีวิตที่ร่ำรวยหรูหรา ไม่ได้เป็นศิลปินไส้แห้งแบบคนอื่น ปีกัสโซเสียชีวิตในปี 1973 ด้วยวัย 91 ปี ฝากผลงานอันทรงคุณค่าให้โลกได้ชื่นชมด้วยภาพเขียนกว่า 13,000 ภาพและงานศิลปะอื่นอีกมากมาย สมกับเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในศตวรรษที่ 20
10 ผลงานชิ้นเอกของปาโบล ปีกัสโซ
3. ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)
ไมเคิลแองเจโล เป็นทั้งจิตรกร ประติมากร และสถาปนิก เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ทัดเทียมกับเลโอนาร์โด ดา วินชี เขาเกิดเมื่อปี 1475 ที่เมืองอาเรซโซ ประเทศอิตาลี แต่ไปเล่าเรียนและเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ อายุ 15 ปีก็เริ่มมีผลงานด้านประติมากรรม ปี 1497 เดินทางไปทำงานที่กรุงโรม และเมื่ออายุ 24 ปี ไมเคิลแองเจโลได้สร้างงานประติมากรรมชิ้นสำคัญของโลกคือ Pietà
เขากลับมาที่ฟลอเรนซ์ในปี 1499 คราวนี้เขามีโอกาสทำงานชิ้นสำคัญที่ค้างเติ่งมาเกือบ 40 ปีคืองานแกะสลักรูปเดวิด (David) เขารับงานนี้ตอนอายุ 26 ปี ใช้เวลาราว 4 ปีจึงแล้วเสร็จและกลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ระหว่างเวลาช่วงนี้ไมเคิลแองเจโลยังได้สร้างผลงานอีกหลายชิ้น รวมทั้งภาพเขียน Doni Tondo และ Manchester Madonna
ปี 1505 ไมเคิลแองเจโลกลับมาที่โรมอีกครั้งเพื่อรับงานสร้างสุสานของพระสันตะปาปา Pope Julius II ซึ่งมีผลงานรูปแกะสลัก Moses และ Dying Slave รวมอยู่ด้วย และในระหว่างนี้เองเขาก็ได้สร้างผลงานสำคัญยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งคือภาพเขียนบนเพดานโบสถ์น้อยซิสติน (Sistine Chapel Ceiling) บนพื้นที่กว่า 500 ตรม. ประกอบด้วยภาพกว่า 300 ภาพ และหนึ่งในนั้นเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ The Creation of Adam
ไมเคิลแองเจโลกลับไปทำงานที่ฟลอเรนซ์อีก คราวนี้นานกว่า 20 ปีก่อนจะได้กลับมาที่โรม ปี 1534 เขาได้สร้างภาพเขียนชิ้นใหญ่บนผนังแท่นบูชาที่โบสถ์น้อยซิสตินคือภาพ The Last Judgement ที่ใช้เวลาทำถึง 8 ปี และในปี 1546 เขาได้รับงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายคือการออกแบบมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่มีโดมใหญ่เด่นสง่าเป็นสัญลักษณ์ เขาเสียชีวิตในปี 1564 ด้วยวัย 88 ปี ก่อนที่โดมจะสร้างเสร็จ
10 ผลงานชิ้นเอกของไมเคิลแองเจโล
4. วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh)
แวนโก๊ะเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยความงดงาม เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และมีสีสันสดใส แต่ชีวิตจริงของเขากลับหม่นหมองทุกข์ระทม เขาเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี 1853 เป็นเด็กที่เคร่งขรึมจริงจังและคิดมาก เขาต้องทำงานหลายอย่างตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะหันมาสนใจและเริ่มต้นเขียนภาพในวัย 27 ปี และในปี 1885 เขาก็มีผลงานสำคัญชิ้นแรกคือ The Potato Eaters
ปี 1886 แวนโก๊ะย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสที่ซึ่งเขาได้เรียนรู้เทคนิคและแนวทางใหม่ในการเขียนภาพ ได้พบกับศิลปินยุคนั้นหลายคนรวมทั้งปอล โกแก็ง เขาได้พัฒนาฝีมือในการเขียนภาพและสร้างแนวทางของตัวเองที่มีสีสันสดใสขึ้น ต่อมาในปี 1888 เขาย้ายไปอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เมือง Arles และ Saint-Rémy ที่อยู่ใกล้กัน สองปีที่นี่เป็นจุดสูงสุดของการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะ เขาสร้างผลงานชั้นยอดมากมายที่นี่ เช่น Sunflowers, Café Terrace at Night, Irises รวมทั้งผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา The Starry Night
แวนโก๊ะต้องทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและอาการโรคจิตผิดปกติ เขาไม่ค่อยใส่ใจต่อสุขภาพ ไม่ค่อยกินอาหารแต่ดื่มจัด เคยคลุ้มคลั่งถึงขั้นใช้มีดโกนตัดใบหูข้างซ้ายของตัวเอง จนในที่สุดเขาก็จบชีวิตด้วยการยิงตัวเองเมื่อปี 1890 ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี
แวนโก๊ะเหมือนเป็นผู้แพ้ตลอดมา ชีวิตล้มเหลว ถูกประนามว่าเป็นคนบ้า แต่ในช่วงเวลาเพียง 10 ปีของการเป็นจิตรกร เขามีผลงานภาพเขียนกว่า 800 ภาพ แม้ว่าตลอดชีวิตเขาจะขายภาพเขียนได้เพียงภาพเดียว คนซื้อยังเป็นเพื่อนศิลปินของเขาเอง แต่จากฝีแปรงที่หยาบและหนาไม่เหมือนใครกลับถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม กลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น หลังจากเขาเสียชีวิตภาพเขียนของเขากลับโด่งดังเป็นที่ต้องการ แต่ละภาพถูกซื้อขายด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว
10 ผลงานชิ้นเอกของวินเซนต์ แวนโก๊ะ
แรมบรันต์เป็นทั้งจิตรกร ช่างพิมพ์ และช่างเขียนแบบ เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะ ผลงานของเขามีส่วนทำให้เนเธอร์แลนด์เข้าสู่ยุคทองที่รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงศตวรรษที่ 17 แรมบรันต์ศึกษาและเรียนศิลปะที่บ้านเกิดจนอายุได้ 19 ปี จึงไปเรียนศิลปะที่อัมสเตอร์ดัมช่วงสั้นๆกับศิลปินดังยุคนั้น แล้วกลับมาทำงานเป็นศิลปินที่บ้านเกิด เขามีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ มีลูกศิษย์คนแรกที่ต่อมาเป็นศิลปินดังเช่นกันตั้งแต่อายุ 22 ปี
ปี 1632 แรมบรันต์ย้ายไปปักหลักอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม แต่งงานและมีสตูดิโอของตัวเอง สร้างผลงานชั้นยอดมากมายที่นี่ เช่น The Anatomy Lesson of Dr. Nicolaes Tulp, Danaë และ The Night Watch ที่เป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขา
ผลงานของแรมบรันต์มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องแสงและเงา ที่ทำให้ภาพสวยงามดูมีมิติ สามารถบอกระยะตื้นลึกของภาพได้เสมือนจริง เป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์และนักศิลปศาสตร์จนนำชื่อของเขามาใช้เป็นหนึ่งในประเภทของการจัดแสงถ่ายภาพคือ Rembrandt Lighting
แม้ว่าแรมบรันต์จะประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปิน คุณครู และผู้แทนจำหน่ายงานศิลปะ แต่ด้วยการใช้ชีวิตที่โอ่อ่าอวดรวยจึงทำให้เขากลายเป็นบุคคลล้มละลายในปี 1656 ทรัพย์สมบัติของเขารวมถึงของสะสมที่เป็นงานศิลปะและวัตถุโบราณถูกนำออกประมูลขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ กระนั้นก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบกับการทำงานเลย เขายังคงสร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 1669
10 ผลงานชิ้นเอกของแรมบรันต์
มอแน เป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ เป็นจิตรกรคนสำคัญของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 เขาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1840 แต่ไปเติบโตและเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์ ในนอร์ม็องดีทางเหนือของฝรั่งเศส จนอายุ 19 ปีจึงได้มาล่าฝันการเป็นศิลปินต่อในกรุงปารีส ได้เรียนศิลปะเพิ่มและได้พบกับศิลปินที่มีความคิดต่อศิลปะแนวใหม่คล้ายๆกันหลายคน รวมทั้งเอดัวร์ มาแน และปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ ในปี 1865 มอแนได้พบกับ Camille Doncieux ซึ่งมาเป็นนางแบบให้และต่อมาได้เป็นภรรยาคนแรกของเขา มอแนเขียนภาพที่มี Camille อยู่ในภาพด้วยจำนวนมาก ที่โดดเด่นได้แก่ Camille (The Woman in the Green Dress), Women in the Garden, Woman with a Parasol
มอแนกับเพื่อนหลายคนช่วยกันผลักดันภาพเขียนแนวใหม่จนได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งแรกในกรุงปารีสเมื่อปี 1874 มอแนใช้ภาพ ‘Impression, Sunrise’ เป็นภาพหนึ่งในการจัดแสดงซึ่งต่อมาชื่อภาพถูกนำไปใช้เรียกศิลปะแนวใหม่ว่าอิมเพรสชันนิสม์ แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จและยังถูกต่อต้านจากกลุ่มนิยมศิลปะดั้งเดิม ทำให้มอแนต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นยาวนานถึง 20 ปี
ปี 1883 มอแนย้ายไปอยู่ที่เมืองจิแวร์นีย์ ในนอร์ม็องดี และทำสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่เขียนภาพไปตลอดจนถึงบั้นปลายของชีวิต ภาพชุด Water Lilies ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เขียนจากสวนหลังบ้านของเขาเอง ช่วงหลังมอแนนิยมเขียนภาพชุดที่มีองค์ประกอบเดียวกันแต่ต่างมุมมอง ต่างเวลา ต่างสภาวะอากาศและแสงสี เกิดเป็นภาพชุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย เช่น ชุด Rouen Cathedral, ชุด Poplars, ชุด Haystacks มอแนเสียชีวิตเมื่อปี 1926 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานให้ผู้คนได้ชื่นชมด้วยความ ‘ประทับใจ’ มากมาย
10 ผลงานชิ้นเอกของโกลด มอแน
7. โยฮัน เฟอร์เมร์ (Johan Vermeer)
เฟอร์เมร์ เป็นชาวดัตช์ เกิดเมื่อปี 1632 ที่เมืองเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาแต่งงานมีครอบครัวและอาศัยอยู่ที่เมืองเดลฟท์ตลอดชีวิต ไม่มีใครรู้เรื่องราวของเขามากนัก รู้เพียงว่าเขาทุ่มเทให้กับการเขียนภาพ เขาทำงานอย่างช้าๆด้วยความประณีต ประกอบกับเสียชีวิตไปด้วยวัยเพียง 43 ปี จึงมีผลงานค่อนข้างน้อย
เฟอร์เมร์ถูกลืมไปเกือบสองร้อยปีเนื่องจากผลงานของเขาถูกคิดว่าเป็นผลงานของคนอื่น จนกระทั่งในปี 1866 มีงานวิจัยของ Thoré-Bürger ที่เป็นนักวิจารณ์งานศิลปะได้ระบุว่ามีชิ้นงานกว่า 70 ภาพเป็นผลงานของเฟอร์เมร์ (ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานของเฟอร์เมร์ 34 ภาพ) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงของเฟอร์เมร์ก็เริ่มโด่งดังขึ้น ได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในสมัยยุคทองของเนเธอร์แลนด์ ทัดเทียมกับแรมบรันต์
ผลงานของเฟอร์เมร์มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องการจัดแสง ภาพเขียนของเฟอร์เมร์ได้รับการยกย่องว่าเหมือนจริงที่สุด เหมือนกับภาพถ่ายมากที่สุด ซึ่งมาจากความประณีตในการเขียนภาพและเทคนิคการจัดแสงที่ยอดเยี่ยมของเขา จนช่างภาพในยุคหลังนิยมเอาเทคนิคการจัดแสงของเขามาใช้ในการถ่ายภาพ อย่างเช่นภาพ Girl With A Pearl Earring ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในผลงานของเขา สาวน้อยในภาพเหลียวหลังกลับมาในจังหวะที่แสงสาดมาตกกระทบทำมุมพอดีกับฉากหลังที่เป็นสีมืดทึบ ทำให้เธอโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบลุ่มหลงของผู้คนทั่วโลก
10 ผลงานชิ้นเอกของโยฮัน เฟอร์เมร์
8. ปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir)
เรอนัวร์เป็นหนึ่งในผู้สร้างศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ให้ความสำคัญของการใช้สีสันสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าให้รายละเอียดที่เหมือนจริง งานของเรอนัวร์จะใช้สีสดใสมีชีวิตชีวา เน้นความสวยงามและเสน่ห์ของผู้หญิง เรอนัวร์เกิดในปี 1841 ที่เมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส แต่มาเติบโตที่กรุงปารีส เรียนศิลปะรุ่นเดียวกับโกลด มอแน เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนภาพจากศิลปินรุ่นพี่หลายคนรวมทั้ง เอดัวร์ มาแน
เรอนัวร์มีผลงานเข้าร่วมในนิทรรศการศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์หลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 3 ในปี 1877 ที่เขาส่ง Dance at Le Moulin de la Galette ภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดของเขาเข้าร่วมด้วย แต่เขามาประสบความสำเร็จกลายเป็นศิลปินยอดนิยมด้วยภาพ Madame Georges Charpentier and Her Children ที่ได้จัดแสดงในปี 1879 เรอนัวร์แต่งงานกับ Aline Charigot ผู้เป็นนางแบบให้ในภาพ Luncheon of the Boating Party และ The Large Bathers
ราวปี 1892 เรอนัวร์เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ในเมือง Cagnes-sur-Mer ที่มีอากาศอบอุ่นทางใต้ของประเทศ โรคข้ออักเสบทำให้เขาเคลื่อนไหวลำบาก แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงเขียนภาพอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาอุปกรณ์ช่วยให้เขาทำงานได้ แม้แต่ตอนที่อาการรุนแรงจนนิ้วมือเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ เขายังใช้ผ้าผูกแปรงติดกับนิ้วมือเขียนภาพจนได้ สิ่งที่ปลอบประโลมใจเขาในปั้นปลายของชีวิตคือการได้กลับไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อดูภาพเขียนของเขาเองที่แขวนเคียงคู่อยู่กับศิลปินชั้นนำคนอื่นๆ เขาเสียชีวิตในปี 1919 ด้วยวัย 78 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์
9. ซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli)
บอตติเชลลีเป็นศิลปินที่โดดเด่นในยุคเรอเนสซองส์ตอนต้น ก่อนหน้ายุคของดา วินชีและไมเคิลแองเจโล เขาเกิดในปี 1445 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ตอนเด็กฝึกเป็นช่างทอง พอเป็นวัยรุ่นจึงเปลี่ยนมาเป็นจิตรกร ผลงานส่วนใหญ่ทำให้กับตระกูลเมดิชีซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์ บอตติเชลลีมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์อย่างยาวนานภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลนี้ เคยเป็นคณะกรรมการพิจารณาที่ตั้งรูปแกะสลักเดวิดของไมเคิลแองเจโลร่วมกับดา วินชี แต่ในช่วงปั้นปลายชีวิตชื่อเสียงต้องตกต่ำด่างพร้อยตามผู้อุปภัมภ์ที่หมดอำนาจ เขาจึงไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร แต่ผลงานของเขามิได้ด้อยค่าลงยืนยงเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน
ภาพเขียนของบอตติเชลลีเป็นสไตล์โบราณ แต่โดดเด่นที่ความอ่อนหวานประณีตงดงาม อย่างเช่น ภาพ The Birth of Venus และ Primavera ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุด ไปจนถึงภาพ Portrait of a Young Woman และ Madonna of the Book บอตติเชลลียังได้ร่วมสร้างภาพเฟรสโกที่ผนังของโบสถ์น้อยซิสตินเช่นเดียวกับศิลปินชั้นนำในยุคนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่เขาถนัดมากนักแต่ผลงานภาพ Trial of Moses ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
บอตติเชลลีหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Simonetta Vespucci แต่ไม่สมหวังเพราะเธอแต่งงานแล้ว หลายคนเชื่อว่าเธอคือนางแบบในภาพของบอตติเชลลีหลายภาพรวมทั้ง The Birth of Venus และ Portrait of a Young Woman ทั้งๆที่เธอเสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะเขียนภาพเหล่านั้นหลายปี บอตติเชลลีเคยขอร้องไว้ว่าให้ฝังร่างของเขาไว้แทบเท้าของเธอ และความหวังของเขาก็เป็นจริงในอีก 34 ปีต่อมาเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1510
10 ผลงานชิ้นเอกของซานโดร บอตติเชลลี
10. ซัลบาโด ดาลี (Salvador Dalí)
ดาลีเป็นศิลปินแนวเหนือจริงเลื่องชื่อชาวสเปน เกิดในปี 1904 มีแววอัจฉริยะทางศิลปะที่มีความคิดเป็นของตัวเองแน่วแน่ไม่ตามใครมาตั้งแต่เด็ก อายุแค่ 14 ปีก็ได้แสดงนิทรรศการผลงานภาพเขียนของตัวเองแล้ว เข้าเรียนโรงเรียนศิลปะแต่ไม่เคยเข้าห้องสอบเพราะคิดว่าไม่มีใครตัดสิน “ศิลปะ” ได้ ถูกไล่ออกจากโรงเรียนสองครั้งเขาก็ไม่ใส่ใจ ยังคงสนใจเรียนรู้ด้านศิลปะต่อเนื่อง เขาศึกษางานของศิลปินชั้นครูรุ่นก่อนอย่างหลากหลายทั้งแนวคลาสสิคและสมัยใหม่ รวมทั้งงานของราฟาเอล เฟอร์เมร์ และปีกัสโซที่เขาเคารพนับถือเป็นพิเศษ
ผลงานของดาลีแปลกแหวกแนวด้วยความคิดสร้างสรรค์ล้ำยุคและสไตล์การเขียนภาพในแบบฉบับของตัวเอง แต่ละภาพของเขาซ่อนความหมายให้ผู้ชมได้จินตนาการและตีความเอาเองด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ อย่างเช่นภาพ The Persistence of Memory หรือภาพนาฬิกาหลอมเหลวอันโด่งดังของเขา ก็ดูจะแฝงความหมายของการปฏิเสธว่าเวลาไม่ใช่เป็นสิ่งที่กำหนดตายตัวที่ทำให้นึกถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
ดาลีได้สร้างผลงานไว้มากมาย ภาพเขียนกว่า 1,500 ภาพ และยังมีงานด้านอื่นๆ เช่น ประติมากรรม ภาพยนตร์ แฟชั่น สถาปัตยกรรม ฯลฯ ตลอดชีวิตเขาคงเอกลักษณ์ความแปลกไม่เหมือนใครทั้งผลงานและชีวิตจริง เขาเคยเข้าร่วมกับกลุ่มลัทธิเหนือจริงแต่ไม่ทำตามกฎเกณฑ์จนถูกขับออกจากกลุ่ม เขาไม่ใส่ใจแถมบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นพวกเหนือจริงตัวจริง ดาลีนับเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีผลงานโดดเด่นและมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะมากที่สุดในศตวรรษที่ 20
10 ผลงานชิ้นเอกของซัลบาโด ดาลี
นอกจาก 10 ท่านนี้แล้วยังมีศิลปินเอกของโลกที่มีผลงานทัดเทียมกันอีกมาก เช่น ราฟาเอล, การาวัจโจ, ฌาค-หลุยส์ ดาวิด, ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์, เอดัวร์ มาแน, กุสตาฟ คลิมต์, เอ็ดเวิร์ด มุงค์ และอีกหลายท่าน ซึ่งต้องขอบคุณศิลปินชั้นครูเหล่านี้ที่ได้สร้างผลงานให้โลกได้ชื่นชมอย่างมีความสุขตลอดมา
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, the official websites of the artists