มีผู้เสียชีวิตทันทีจากการระเบิดครั้งนั้น 31 คน และมีผู้ได้รับผลกระทบในระยะยาวอีกจำนวนมากถึงกว่า 600,000 คน รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีที่อาจสูงถึง 4,000 คน เครื่องปฏิกรณ์ถูกทยอยปิดใช้งานเป็นลำดับจนครบทั้งหมดในปี 2000 ปล่อยให้โรงไฟฟ้ารวมทั้งเมือง Pripyat ที่อยู่ใกล้กันถูกทิ้งร้างนาน 18 ปีมาแล้ว
ปี 2013 บริษัท RODINA – ENERPARC AG ผุดไอเดียทำโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลเดิมซึ่งมีพื้นกว้างใหญ่ มีอุปกรณ์และระบบส่งไฟฟ้าเชื่อมต่อกับระบบสายส่งไฟฟ้าของประเทศยูเครนพร้อมสรรพอยู่แล้ว งานก่อสร้างเริ่มในปี 2017 การติดตั้งแล้วเสร็จและเริ่มผลิตไฟฟ้าได้เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2018
โรงไฟฟ้าใหม่นี้ใช้เงินลงทุนราว 1 ล้านยูโร ประกอบด้วยแผ่นโซลาร์เซลล์มากกว่า 3,700 แผ่น ติดตั้งบนพื้นที่ 16,000 ตารางเมตร ห่างจากเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 4 จุดที่เกิดระเบิดเมื่อ 30 กว่าปีก่อนแค่เพียง 100 เมตรเท่านั้น กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าใหม่คือ 1 เมกะวัตต์ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดิมที่มีกำลังการผลิตรวม 4,000 เมกะวัตต์ แต่พวกเขามีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 เมกะวัตต์ในอนาคต
การเลือกใช้พื้นที่ในโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลมาใช้ทำประโยชน์สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์นี้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมและลงตัว เพราะมีพื้นที่มากถึง 2,600 ตารางกิโลเมตรที่ต้องปล่อยว่างเอาไว้ ใช้อยู่อาศัยไม่ได้เพราะไม่ปลอดภัย ใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมก็ไม่เหมาะสม แต่พวกสัตว์ป่าท้องถิ่นดูเหมือนมีความสุขมากขึ้นเมื่อไม่มีคนมาวุ่นวายแถวนี้ และที่สำคัญเป็นโบนัสพิเศษคือการมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่โครงข่ายหลักอย่างเพียบพร้อมอยู่แล้วนั่นเอง
ข้อมูลและภาพจาก solarchernobyl, newatlas