ปี 2012 ทางมหาวิทยาลัยนำชิ้นส่วนดังกล่าวออกจัดแสดงที่ศูนย์ศิลปะ Wolfe Arts Center ทางตุรกีจึงเริ่มปฏิบัติการทวงคืนโดยอาศัยผลงานวิจัยของ Stephanie Langin-Hooper นักประวัติศาสตร์ศิลปะที่มหาวิทยาลัย Southern Methodist University ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างชิ้นส่วนที่จัดแสดงอยู่ที่มหาวิทยาลัย Ohio Bowling Green State กับเมืองโบราณ Zeugma
มหาวิทยาลัย Ohio Bowling Green State ตกลงที่จะคืนชิ้นส่วนให้ทางตุรกีหลังจากครอบครองมานานหลายสิบปี และได้ทำพิธีส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ของตุรกีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และทางตุรกีจะทำแบบจำลองของชิ้นส่วนให้กับทางมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลง ชิ้นส่วนจะถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Zeugma Mosaic Museum แต่แยกคนละที่กับ “Gipsy Girl” ก่อนที่นักบูรณะศิลปะจะนำไปรวมไว้ที่ชิ้นงานเดิมในภายหลัง
Gipsy Girl เป็นงานโมเสกโบราณที่ประณีตงดงามมาก โดยเฉพาะดวงตาคมกริบที่สะกดผู้เยี่ยมชมให้ตะลึงงัน นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเป็นภาพของเทพีไกอา พระแม่ธรณีในเทพปกรณัมของกรีก โมเสก Gipsy Girl ถูกค้นพบเมื่อปี 1999 จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Zeugma Mosaic Museum มาตั้งแต่ปี 2011 พร้อมกับงานโมเสกโบราณอื่นๆอีกจำนวนมากบนพื้นที่ 30,000 ตารางเมตร ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์โมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ตั้งแต่ปี 2003 กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวตุรกีได้รับศิลปะวัตถุที่ถูกลักลอบนำออกนอกประเทศอย่างผิดกฎหมายคืนมาทั้งสิ้น 4,311 ชิ้น และขณะนี้ก็กำลังติดตามอยู่อีก 55 ชิ้นจาก 17 ประเทศ วัตถุโบราณที่ค้นพบในตุรกีถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์มีชื่อหลายแห่งทั่วโลกแม้ว่าจะเป็นการลักลอบนำออกไปอย่างผิดกฎหมายก็ตาม และขั้นตอนทางกฎหมายที่จะนำวัตถุโบราณเหล่านี้กลับคืนต้องใช้เวลานานมาก
ข้อมูลและภาพจาก dailysabah