เร่ร่อนอยู่นานก่อนปักหลักในเมืองหลวง
ปอล โกแก็ง เป็นชาวฝรั่งเศสเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1848 พ่อเป็นนักข่าวมาจากเมือง Orléans ปี 1850 ครอบครัวจำต้องย้ายออกจากปารีสเนื่องจากหนังสือพิมพ์ที่พ่อทำงานด้วยถูกทางการฝรั่งเศสปราบปราม พวกเขาเดินทางไปยังประเทศเปรูดินแดนที่ญาติของแม่มีอิทธิพลทางการเมืองเพราะพ่อหวังจะทำงานนักข่าวต่อไปที่นั่น แต่พ่อของเขาเสียชีวิตระหว่างทางแม่จึงพาเขากับพี่สาวไปอาศัยอยู่กับญาติของเธอในเปรู ครอบครัวของเขาอยู่กันที่เปรูอย่างสุขสบายนานหลายปีจนถึงปี 1854 ญาติของแม่หมดอำนาจแม่จึงย้ายกลับฝรั่งเศสโดยให้โกแก็งไปอยู่กับปู่ที่เมือง Orléans ส่วนเธอไปทำงานเป็นช่างตัดเสื้อที่กรุงปารีส
โกแก็งเรียนหนังสืออยู่ที่เมือง Orléans จนถึงอายุ 14 ปีจึงเข้าไปโรงเรียนเตรียมทหารเรือที่สถาบัน Loriol Institute ในกรุงปารีสเป็นเวลา 3 ปี พอเรียนจบไปทำงานเป็นผู้ช่วยคนขับเรือสินค้าตระเวนส่งสินค้าไปทั่วโลกนาน 3 ปี จากนั้นไปเป็นทหารเรืออีก 2 ปี หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตในปี 1867 โกแก็งมีผู้ปกครองใหม่เป็นนักธุรกิจและนักสะสมศิลปะ Gustave Arosa ผู้เป็นเพื่อนใกล้ชิดของครอบครัว ปี 1871 โกแก็งกลับมาอยู่ที่ปารีส Arosa ช่วยให้เขาได้ทำงานเป็นนายหน้าค้าหุ้นที่ตลาดหุ้นปารีส โกแก็งในวัย 23 ปีจึงกลายเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้มีอนาคตไกล
Arosa ยังแนะนำสาวชาวเดนมาร์ก Mette-Sophie Gad ให้โกแก็ง ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1873 มีลูกด้วยกันทั้งหมด 5 คน การอยู่ใกล้ชิดกับนักสะสมศิลปะอย่าง Arosa ทำให้โกแก็งได้รู้จักกับภาพเขียนของศิลปินดังหลายคน เช่น Eugene Delacroix และ Gustave Courbet แล้วก็เริ่มหลงใหลในศิลปะการเขียนภาพ พอมีเวลาว่างเขาจึงเริ่มเขียนภาพเป็นงานอดิเรก ทั้งๆที่ไม่เคยเรียนเขียนภาพมาก่อนแต่โกแก็งกลับเขียนภาพได้ดีมากถึงขนาดภาพ Landscape from Viroflay ของเขาได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการ Paris Salon ปี 1876 ซึ่งถือว่าน่าทึ่งมากสำหรับมือสมัครเล่น แต่เขาก็ไม่ได้คิดฝันจะเป็นจิตรกรมืออาชีพแต่อย่างใด เพราะในขณะนั้นเขายังเป็นนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จมีรายได้มากมายจากทั้งอาชีพนายหน้าค้าหุ้นและนักสะสมศิลปะ
เข้าร่วมขบวนกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์
โกแก็งชอบไปเลือกซื้อภาพเขียนของพวกศิลปินหน้าใหม่ เช่น Pierre-Auguste Renoir, Claude Monet และ Camille Pissarro แล้วได้รู้จักกับ Pissarro หนึ่งในศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ในราวปี 1784 โกแก็งมักจะไปหา Pissarro ในวันอาทิตย์ให้เขาช่วยสอนเทคนิคการเขียนภาพในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ Pissarro ยังแนะนำศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ให้เขารู้จักอีกหลายคน ปี 1877 โกแก็งซื้อบ้านและใช้ชั้นสามของบ้านทำเป็นสตูดิโอเขียนภาพของตัวเอง
ปี 1880 โกแก็งได้รับเชิญเข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการครั้งที่ 5 ของศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์เป็นครั้งแรก และยังเข้าร่วมแสดงผลงานอีก 2 ครั้งต่อมาในปี 1881 และ 1882 ในช่วงนี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในวันหยุดไปเขียนภาพร่วมกับ Pissarro และ Paul Cézanne จนมีฝีมือก้าวหน้าดีขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเข้าร่วมในวงสังคมของพวกศิลปินหัวก้าวหน้ากลุ่มนี้ ตลอดหลายปีของการเขียนภาพสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์โกแก็งมีผลงานที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เช่น ภาพ Study of a Nude (Suzanne Sewing), Garden in Vaugirard และ The Market Gardens of Vaugirard
ปี 1882 เกิดวิกฤตการณ์ตลาดหุ้นปารีสล่มสลายพร้อมกับตลาดงานศิลปะเกิดภาวะหดตัวรุนแรง โกแก็งกลายเป็นคนตกงานรายได้หดหาย เขาจึงตัดสินใจทำงานเขียนภาพแบบเต็มเวลาและย้ายครอบครัวออกจากปารีสไปอยู่ที่เมือง Rouen เพื่อลดค่าครองชีพแต่ก็ยังไปไม่รอด ภรรยาและลูกต้องย้ายกลับไปอยู่กับครอบครัวที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แล้วเขาก็ย้ายตามไปอยู่ด้วยในปี 1884 แต่ชีวิตในเดนมาร์กก็ยากลำบากไม่แพ้กัน เขากับภรรยาเริ่มมีปัญหากันมากขึ้น สุดท้ายเขาจึงต้องกลับกรุงปารีสในปีถัดมาเพื่อไปล่าฝันการเป็นจิตรกรอาชีพของเขาต่อไป
ค้นหาความแตกต่างและตัวตนที่แท้จริง
โกแก็งผ่านปีแรกของการกลับมาอยู่ที่ปารีสอย่างยากลำบากได้เขียนภาพเพียงไม่กี่ภาพ ปี 1886 เขาเข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการครั้งสุดท้ายของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ แต่ผลงานของเขาได้รับความสนใจน้อยมาก ถึงจุดนี้เขาจึงต้องเริ่มทำภาชนะเซรามิกออกขายเพื่อยังชีพ จากนั้นเขาจึงเริ่มเปลี่ยนแนวทางถอยห่างจากสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ไปค้นหาความแตกต่างและพัฒนาสไตล์ที่เป็นของตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มเห็นได้จากภาพ Four Breton Women ปีถัดมาเขาไปเขียนภาพอยู่บนเกาะ Martinique ในทะเลแคริบเบียน สภาพแวดล้อมของที่นี่มีส่วนช่วยให้สไตล์การเขียนภาพของเขาแตกต่างไปจากเดิมมากยิ่งขึ้น
ภาพเขียนบนเกาะ Martinique ของโกแก็งเป็นที่ชื่นชอบของ Vincent van Gogh อย่างมาก ต่อมาทั้งคู่ได้รู้จักและเป็นเพื่อนสนิทกัน ปี 1888 โกแก็งไปร่วมเขียนภาพกับ van Gogh ที่บ้านเช่าของ van Gogh ในเมืองอาร์ลส์ราว 2 เดือน ภาพ Vision After the Sermon ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเขาและภาพดัง The Painter of Sunflowers ถูกเขียนขึ้นที่นี่ แม้ว่าทั้งคู่จะมีความชื่นชอบและเคารพฝีมือในการเขียนภาพซึ่งกันและกันมาก แต่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในหลายๆเรื่อง วันหนึ่งทั้งสองทะเลาะกันหนักจนโกแก็งออกจากบ้านไปนอนโรงแรม van Gogh ได้ตัดใบหูข้างซ้ายของตัวเองด้วยมีดโกน แล้วเอาใบหูเปื้อนเลือดห่อกระดาษส่งไปให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่สถานบริการซึ่งเขาและโกแก็งมาเที่ยวกันบ่อยๆ หลังเหตุการณ์โกแก็งรีบกลับปารีสและไม่เคยพบกับแวนโก๊ะอีกเลย มีเพียงการติดต่อกันทางจดหมาย
ช่วงสองสามปีต่อมาโกแก็งไปๆมาๆระหว่างกรุงปารีสกับเมืองแถบแคว้นบริตทานีทางตะวันตกของประเทศ เขายังคงพยายามพัฒนาการเขียนภาพของเขาต่อไปและมีผลงานที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นในภาพ The Yellow Christ และ Self Portrait with Halo and Snake เป็นต้น แต่เขามาค้นพบตัวตนที่แท้จริงและก้าวสู่จุดสูงสุดเมื่อได้ไปพักอาศัยและเขียนภาพอยู่บนเกาะตาฮิติ เกาะใหญ่ที่สุดในดินแดนเฟรนช์โพลินีเซียของฝรั่งเศสในมหาสมุทรแปซิฟิก
พัฒนาสไตล์ตัวเองบนวิถีพื้นบ้านชาวเกาะ
ปี 1891 โกแก็งออกเดินทางหนีจากดินแดนแห่งประเพณีนิยมจอมปลอมอย่างกรุงปารีสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะตาฮิติ เขาพักอยู่ที่เมือง Papeete เมืองหลวงของเฟรนช์โพลินีเซียบนเกาะตาฮิตินาน 3 เดือนแล้วพบว่าเมืองนี้ถูกอิทธิพลของวัฒนธรรมฝรั่งเศสและยุโรปครอบงำมากเกินไปจนแทบไม่เหลือวิถีชีวิตพื้นบ้านแบบที่เขาใฝ่หา จึงย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านที่ไกลออกไปจากเมือง Papeete ราว 45 กิโลเมตร อาศัยอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่แบบเดียวกับชาวเกาะที่นี่และใช้มันเป็นสตูดิโอเขียนภาพด้วย ณ ที่แห่งนั้นเองที่เขาได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเองบนวิถีชีวิตพื้นบ้านชาวเกาะจนเอกลักษณ์ของตัวเองที่โดดเด่นอย่างยิ่ง
ระยะเวลาสองปีเศษที่อยู่บนเกาะตาฮิติโกแก็งได้เขียนภาพทิวทัศน์ของเกาะและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวตาฮิติออกมามากมายหลายสิบภาพ ภาพเหล่านี้ได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตพื้นบ้านออกมาอย่างสวยงามบนความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ผลงานที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่ภาพ Tahitian Women on the Beach, Hail Mary, Spirit of the Dead Watching รวมทั้งภาพ When Will You Marry? ที่กลายเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลกในปัจจุบัน หลังจากกลับมากรุงปารีสในปี 1893 โกแก็งยังคงเขียนภาพชีวิตชาวตาฮิติต่อไป มีผลงานที่ยอดเยี่ยมเพิ่มเติมอีกหลายภาพอย่างเช่นภาพ Day of the God แต่เขาอยู่ที่ปารีสได้อีกไม่นานเพราะเขารักชีวิตการเป็นชาวเกาะเสียแล้ว
โดดเดี่ยวในกระท่อมดินแดนโพ้นทะเล
ปี 1895 โกแก็งย้ายไปอยู่ที่เกาะตาฮิติอีกครั้งคราวนี้เขาตั้งใจจะอยู่อย่างถาวร แต่ก็อยู่ได้เพียง 6 ปีก็มีอันต้องย้ายถิ่นฐานอีก แต่ในระหว่างที่พักบนเกาะตาฮิติโกแก็งได้สร้างผลงานชั้นยอดเพิ่มอีกจำนวนมาก อย่างเช่นภาพ O Taiti (Nevermore) และ Two Tahitian Women รวมทั้งภาพ Where Do We Come From? What Are We? Where Are We Going? ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายของเขา นอกจากงานเขียนภาพแล้วโกแก็งยังสร้างผลงานประติมากรรมอีกจำนวนมาก มีทั้งงานเซรามิก, งานแกะสลักไม้ และงานภาพพิมพ์ โดยเขาทำงานเหล่านี้มาตั้งแต่เริ่มเขียนภาพใหม่ๆและทำตลอดมาควบคู่กับงานเขียนภาพ
ปี 1901 โกแก็งเดินทางไปยังเมือง Atuona ในหมู่เกาะ Marquesas ซึ่งอยู่ไกลจากเกาะตาฮิติออกไปในทะเลอีกเกือบ 1,400 กิโลเมตร เขาพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆห่างไกลจากผู้คนและสร้างผลงานภาพเขียนออกมาอย่างต่อเนื่องแม้อาจจะไม่มากเท่าตอนที่อยู่บนเกาะตาฮิติ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสุขภาพของเขาแย่ลงและต้องเจ็บปวดทรมานจากโรคซิฟิลิสที่เริ่มมีอาการมาตั้งแต่ช่วงที่เขาอยู่ที่เกาะตาฮิติครั้งแรก และในช่วงนี้เขายังได้สร้างผลงานแกะสลักไม้ที่โดดเด่นหลายชิ้น เช่น Père Paillard (Father Lechery) และ Thérèse โกแก็งเสียชีวิตที่บ้านของเขาในเมือง Atuona ในปี 1903 ด้วยวัย 56 ปี
ผลงานอันโดดเด่นในสไตล์เฉพาะตัว
โกแก็งเริ่มต้นทำงานศิลปะด้วยการเขียนภาพในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์เป็นงานอดิเรก แต่พอผันตัวมาเป็นจิตรกรอาชีพเขากลับละทิ้งอิมเพรสชั่นนิสม์ไปค้นหาความแตกต่างและพัฒนาสไตล์ของตัวเองขึ้นมาจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะผลงานในช่วงที่เขาพักอาศัยอยู่บนเกาะตาฮิติมีความโดดเด่นอย่างมาก และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอันหลากหลายและมีสไตล์เฉพาะตัวที่โดดเด่นของศิลปินท่านนี้
Early Works (1873 – 1877)
Impressionism Period (1877 – 1885)
Experimental Period (1885 – 1891)
Tahitian Period (1891 – 1896)
Later Period (1896 – 1903)
Sculptural Works
แม้ว่าตอนมีชีวิตชื่อเสียงโกแก็งไม่โด่งดังเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เขาจากไปชื่อเสียงกลับยิ่งเพิ่มพูนมาจนถึงปัจจุบัน ผลงานของเขาหลายชิ้นติดอันดับ 100 ภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลก และผลงานของเขายังมีอิทธิพลต่อศิลปินสมัยใหม่รุ่นหลังจำนวนมาก สุดยอดศิลปินแห่งยุคศิลปะสมัยใหม่อย่าง Pablo Picasso และ Henri Matisse ต่างยอมรับว่าผลงานของโกแก็งมีอิทธิพลต่อการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพของพวกเขาอย่างมาก นอกจากนี้โกแก็งยังได้ชื่อว่าเป็นศิลปินคนสำคัญในศิลปะแบบลัทธิสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) และ เป็นผู้ปูทางสู่ศิลปะแบบบรรพกาลนิยม (Primitivism) อีกด้วย
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, britannica, paul-gauguin.net