เด็กหญิงที่ตั้งใจเป็นศิลปินอาชีพ
แมรี เคแซต เป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี 1844 ที่เมือง Allegheny City ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ผู้มีอันจะกิน ช่วงทศวรรษ 1850 ครอบครัวของเคแซตไปท่องเที่ยวในยุโรปเป็นเวลานานถึง 5 ปี เธอจึงได้ไปเยือนเมืองหลวงของประเทศสำคัญในยุโรปหลายเมืองทั้งลอนดอน, ปารีส และเบอร์ลิน โดยเฉพาะที่กรุงปารีสเธอมีโอกาสได้เห็นผลงานของศิลปินดังจำนวนมากจากการเข้าชมนิทรรศการศิลปะ และนั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กหญิงวัยประถมที่กำลังเริ่มเรียนวาดเขียนตั้งใจะเป็นศิลปินอาชีพเมื่อโตขึ้น แม้พ่อแม่จะไม่ได้สนับสนุนความตั้งใจของแคเซตแต่เธอก็ยังเข้าเรียนการเขียนภาพที่สถาบัน Pennsylvania Academy of the Fine Arts เมื่อมีอายุ 16 ปี หลังเรียนอยู่หลายปีเคแซตก็พบว่าการเรียนในสถาบันศิลปะไม่ได้ให้ผลอย่างที่ต้องการเธอจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสเพื่อหาทางศึกษาด้วยตัวเองในปี 1866
ในสมัยนั้นผู้หญิงยังถูกกีดกันเคแซตจึงไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในสถาบันดังอย่าง École des Beaux-Arts เธอจึงต้องเรียนเป็นการส่วนตัวกับครูผู้สอนโดยตรง เริ่มจากเรียนกับศิลปินแนวศิลปะสถาบัน Jean-Léon Gérôme ถัดมาเป็นจิตรกรแนววิถีชีวิตประจำวัน Charles Joshua Chaplin และศิลปินแนวโรแมนติก Thomas Couture พร้อมกันนั้นเธอได้ฝึกฝนและพัฒนาฝีมือด้วยการคัดลอกภาพของศิลปินชั้นครูในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ พอฝีมือเข้าขั้นเธอก็เริ่มส่งภาพเขียนให้คณะกรรมการคัดเลือกผลงานเข้าร่วมนิทรรศการ Paris Salon ซึ่งเป็นหนทางที่จะทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหากผลงานถูกเลือกเข้าร่วมแสดง และในปี 1868 ภาพเขียนของเธอชื่อ A Mandoline Player ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมนิทรรศการเป็นครั้งแรก เคแซตยังเป็นศิลปินหญิงชาวอเมริกันคนแรกที่ได้เข้าร่วมใน Paris Salon อีกด้วย แต่ผลงานของเธอยังไม่เป็นที่สนใจของผู้คนมากนัก
จิตรกรหญิงยากที่จะเกิดในวงการ
ช่วงที่เกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1870 เคแซตกลับไปอยู่กับครอบครัวที่สหรัฐอเมริกา พ่อของเธอยังคงต่อต้านการเป็นศิลปินอาชีพของเธออยู่เหมือนเดิมและเธอก็ยังขายภาพเขียนไม่ได้จนทำให้เธอแทบจะยอมแพ้ แต่โชคดีที่บิชอปแห่งเมืองพิตต์สเบิร์กได้จ้างเธอคัดลอกภาพของ Correggio ศิลปินยุคเรอเนสซองส์ในเมืองปาร์มา ประเทศอิตาลี ทำให้เธอได้กลับไปยุโรปอีกครั้งหนึ่งในปี 1871 เมื่อเสร็จงานชิ้นนั้นแล้วเคแซตเดินทางไปยังประเทศสเปน, เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์เพื่อศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูของประเทศเหล่านั้น ในระหว่างนี้เธอได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาหลายชิ้นได้แก่ After the Bullfight, Spanish Dancer Wearing a Lace Mantilla และ Spanish Girl Leaning on a Window Sill เป็นต้น จากนั้นเธอก็กลับไปปักหลักอยู่ที่กรุงปารีสอีกครั้งในปี 1874
ในช่วงเวลานั้นกลุ่มศิลปินรุ่นใหม่ในกรุงปารีสเริ่มหันไปสร้างสรรค์ศิลปะแนวใหม่กัน แต่เคแซตยังคงยึดแนวทางแบบเดิมอยู่พยายามสร้างผลงานส่งเข้าร่วมนิทรรศการศิลปะ Paris Salon อย่างต่อเนื่อง ผลงานของเธอหลายชิ้นได้รับการคัดเลือกเข้าแสดงในนิทรรศการอยู่เป็นประจำเป็นเวลาหลายปี แต่เธอก็เริ่มมองเห็นว่าภาพเขียนของจิตรกรหญิงมักถูกมองข้าม โดยเฉพาะผลงานช่วงหลังของเธอถูกปฏิเสธทั้งหมด ในช่วงเวลาที่ตกต่ำของอาชีพในปี 1877 Edgar Degas ศิลปินที่เธอชื่นชอบและประทับใจในผลงานมานานแล้วได้เชิญชวนเคแซตให้มาร่วมแสดงผลงานกับกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ที่จัดนิทรรศการของกลุ่มไปสองสามครั้งแล้ว เธอตอบรับคำเชิญด้วยความยินดีและเริ่มต้นเขียนภาพแนวใหม่ในสไตล์ของลัทธิประทับใจโดยมี Degas ที่กลายเป็นเพื่อนสนิทคอยชี้แนะ
ร่วมขบวนศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์
เคแซตไม่ได้เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ เพราะก่อนหน้าเธอมี Berthe Morisot เป็นผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เมื่อเคแซตเข้ามาร่วมในกลุ่มพวกเธอก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เคแซตเข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ครั้งแรกในปี 1879 นิทรรศการครั้งนั้นประสบความสำเร็จอย่างมากแม้ศิลปินดังบางคนอย่างเช่น Pierre-Auguste Renoir, Édouard Manet และ Paul Cézanne ไม่ได้ส่งผลงานเข้าร่วมแสดง สำหรับผลงานส่วนตัวของเคแซตก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีด้วยผลงานที่โดดเด่นหลายชิ้น ได้แก่ ภาพ Little Girl in a Blue Armchair, In the Loge และ Woman with a Pearl Necklace in a Loge เป็นต้น
ขณะที่ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ส่วนใหญ่นิยมเขียนภาพกลางแจ้งถ่ายทอดความสวยงามและความประทับใจของภูมิทัศน์กับวิถีชีวิตชาวกรุงหรือทิวทัศน์กับวิถีชีวิตชนบทในมุมที่พวกเขาพบเห็น แต่เคแซตเลือกที่จะเขียนภาพบุคคลเป็นหลักโดยเฉพาะภาพของคนในครอบครัวของเธอเอง โดยมี Lydia น้องสาวที่มาอยู่ที่กรุงปารีสกับเธอเป็นนางแบบคนสำคัญ แต่ผลงานของเธอก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับศิลปินในกลุ่มคนอื่นๆอีกทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น เคแซตได้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานในแนวอิมเพรสชันนิสม์นานหลายปีมีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมาย เช่น ภาพ Child in a Straw Hat, The Cup of Tea และ Young Woman Sewing in a Garden เป็นต้น ถือเป็นหนึ่งในจิตรกรหญิงที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้น
เพื่อนรักคู่หูหรือศิลปินชายคู่ใจ?
ก่อนหน้าที่เคแซตจะได้รู้จักตัวจริงของ Edgar Degas ราวสองปี เธอได้พบกับภาพเขียนของเขาที่หน้าต่างโชว์ผลงานของพ่อค้าศิลปะรายหนึ่ง เธอชื่นชอบและประทับใจสีพาสเทลในผลงานของเขาอย่างมากถึงขนาดเอาจมูกแนบกับหน้าต่างและซึมซับงานศิลปะของเขา เธอคิดว่านั่นคืองานศิลปะในจินตนาการของเธอ ขณะที่ Degas เองก็มีความชื่นชอบในผลงานของเคแซตด้วยเช่นกัน และเป็นคนไปหาเธอที่สตูดิโอเพื่อเชิญชวนให้มาร่วมโชว์ผลงานด้วยกัน เมื่อได้รู้จักกันต่างก็พบว่าทั้งคู่มีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง พวกเขามาจากพื้นเพที่มั่งคั่งเหมือนกัน เรียนศิลปะจากอิตาลีเหมือนกัน และยังมีรสนิยมในศิลปะและวรรณกรรมเหมือนกันอีก ทั้งเคแซตและ Degasไม่เคยแต่งงาน ทั้งสองคนไปมาหาสู่และทำงานร่วมกันแบบใกล้ชิดอย่างยาวนานทำให้หลายคนสงสัยในความสัมพันธ์ที่แท้จริง
ทั้งคู่มีสตูดิโอเขียนภาพอยู่ใกล้ๆกันใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาที Degas จะไปขลุกอยู่ที่สตูดิโอของเคแซตเป็นประจำ ช่วยแนะนำเธอหลายอย่าง เช่น เทคนิคการใช้สีพาสเทลและการทำภาพพิมพ์ รวมทั้งช่วยหานางแบบให้ ส่วนเคแซตก็สามารถช่วยโปรโมทชื่อเสียงและขายภาพของ Degas ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี ตอนแรกคนเข้าใจว่าเคแซตเป็นลูกศิษย์ของ Degas แต่ที่จริงไม่ใช่ ทั้งคู่ให้ความเคารพซึ่งกันและกันในฐานะจิตรกร หลายคนสงสัยว่าสองคนนี้อาจเป็นชู้รักกัน แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงระดับนั้นหรือไม่ แต่มีหลักฐานบางอย่างบ่งชี้ว่าไม่น่าเป็นไปได้ Degas ยังเขียนภาพเหมือนของเคแซตไว้หลายภาพ เคแซตกับ Degas คบหาเป็นเพื่อนสนิทกันนานหลายทศวรรษแม้ตอนหลังทั้งคู่จะมีความขัดแย้งทางความคิดในบางประเด็นแต่ก็ยังไปเยี่ยมเยียนกันมิได้ขาดไปตลอดชีวิต
สไตล์เปลี่ยนไปตามวัยและกาลเวลา
หลังนิทรรศการศิลปะของกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ครั้งสุดท้ายในปี 1886 ศิลปินในกลุ่มต่างแยกย้ายกันไปสร้างสรรค์งานที่แต่ละคนชื่นชอบ เคแซตก็เช่นกันเธอได้ปรับเปลี่ยนสไตล์การเขียนภาพจากอิมเพรสชั่นนิสม์มาเป็นสไตล์เฉพาะของตัวเอง โดยหันมาเน้นการเขียนภาพแสดงความผูกพันระหว่างแม่กับลูกเป็นหลัก ผลงานของเธอในธีมนี้หลายชิ้นมักชวนให้นึกถึงภาพมาดอนน่าและพระบุตรของอิตาลีในยุคเรอเนซองส์ ทศวรรษ 1890 เป็นช่วงเวลาที่เคแซตสร้างสรรค์ผลงานออกมามากที่สุดและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมาย หนึ่งในนั้นคือภาพ The Child’s Bath ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดชิ้นหนึ่งของเธอ นอกจากนี้ยังมีภาพ The Boating Party และ Mother and Child (The Oval Mirror) ในทศวรรษต่อมาก็ยังคงมีผลงานที่โดดเด่นมากมายรวมทั้งภาพ Young Mother Sewing และ Woman with a Sunflower เป็นต้น
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เคแซตได้สร้างผลงานภาพพิมพ์โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินชาวญี่ปุ่นและเลือกใช้สีพาสเทลเป็นส่วนใหญ่อย่างเช่นภาพ Woman Bathing (La Toilette), The Banjo Lesson และ The Letter ผลงานภาพพิมพ์ของเธอมีความโดดเด่นและได้รับการยกย่องอย่างมากกลายเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเธอ ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมและหลากหลายของเคแซตทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุด Légion d’honneur ให้แก่เธอในปี 1904 ช่วงบั้นปลายชีวิตเธอต้องหยุดเขียนภาพเนื่องจากเป็นโรคเบาหวานและต้อกระจกจนดวงตาเกือบบอด เคแซตเสียชีวิตในปี 1926 ในวัย 82 ปีที่บ้านใกล้กรุงปารีสทิ้งผลงานอันน่าประทับใจทั้งภาพเขียนและภาพพิมพ์ให้ผู้คนได้ชื่นชมจำนวนหลายร้อยภาพ
ผลงานเด่นของจิตรกรหญิงผู้โด่งดัง
เคแซตเริ่มเขียนภาพในสไตล์ศิลปะสถาบันจากนั้นจึงค่อยเข้าร่วมกับกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์สร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่นออกมามากมาย ช่วงหลังได้ปรับเปลี่ยนเป็นสไตล์ของตัวเองพร้อมกับนำเสนอเรื่องราวในธีมของแม่กับลูกที่งดงามน่าประทับใจ และยังสร้างผลงานภาพพิมพ์อันยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานเด่นของจิตรกรหญิงผู้โด่งดังคนนี้
Early Works (1868 – 1877)
Impressionism Period (1878 – 1890)
Mother and Child & Prints Period (1890 – 1900)
Later Years (1900 – 1914)
แมรี เคแซต เป็นศิลปินชาวอเมริกันที่ไปสร้างผลงานและชื่อเสียงจนโด่งดังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เธอไม่เพียงเป็นศิลปินหญิงชาวอเมริกันคนแรกที่ได้ร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการศิลปะ Paris Salon แต่ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ ผลงานภาพเขียนและภาพพิมพ์จำนวนหลายร้อยภาพของเธอได้รับความชื่นชมจากผู้คนทั่วโลกอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, biography, marycassatt.org