ผู้ชนะในการประมูลที่เม็กซิโกครั้งนี้ประกอบด้วยบริษัทด้านพลังงานหมุนเวียนชั้นนำหลายรายได้แก่ ENGIE, Mitsui+Trina, ENEL และ Canadian Solar โดยเป็นบริษัท ENEL จากอิตาลีที่เสนอราคาต่ำที่สุดและได้งานไปมากที่สุด โดยชนะ 4 สัญญาที่ราคา 1.77, 1.77, 1.94 และ 1.80 เซ็นต์ต่อยูนิต เป็นโครงการที่มีขนาดกำลังการผลิต 167, 122, 277 และ 116 เมกะวัตต์ตามลำดับ รวมกำลังการผลิตที่ได้ไป 682 เมกะวัตต์
การประมูลครั้งนี้ได้ราคาเฉลี่ยของทุกโครงการอยู่ที่ 2.05 เซ็นต์ต่อยูนิต และโครงการเหล่านี้มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2020 สำหรับการประมูลสองครั้งล่าสุดของเม็กซิโกซึ่งจัดเมื่อปีที่แล้วได้ราคาเฉลี่ยที่ 4.49 และ 3.17 เซ็นต์ต่อยูนิต เห็นได้ชัดว่าราคาไฟฟ้าลดลงอย่างฮวบฮาบ
ราคาไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงอย่างต่อเนื่องจากสถิติราคาต่ำสุด 8.3 เซ็นต์ต่อยูนิตในปี 2013 ที่สหรัฐอเมริกา มาเป็น 5.84 เซ็นต์ต่อยูนิตในปี 2014 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แล้วลงมาที่ 4.97 เซ็นต์ต่อยูนิตที่ซาอุดีอาระเบียในปี 2015 ก่อนที่จะลดฮวบเป็น 2.42 ในปี 2016 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สำหรับปี 2017 มีการประมูลที่ได้ราคาต่ำกว่าปี 2016 อีก 7 ครั้ง
ตอนที่การประมูลได้ราคา 2.42 เซ็นต์ต่อยูนิตเมื่อปี 2016 ผู้คนส่วนใหญ่บอกว่านี่เป็นราคาต่ำที่สุดแล้วและผู้ประกอบการจะขาดทุน พอซาอุดีอาระเบียได้ราคา 1.79 เซ็นต์ต่อยูนิตก็พูดกันว่าราคานี้เป็นไปไม่ได้ในที่อื่นใดในโลกเพราะไม่มีทั้งเงิน แสงแดด และรัฐบาลที่ควบคุมได้ทุกอย่างแบบซาอุดีอาระเบีย
เม็กซิโกได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการจัดหาพลังงานหมุนเวียนในราคาที่ไม่แพงนั้นเป็นไปได้ทั่วโลก ไม่จำเป็นจะต้องเป็นประเทศร่ำรวยและมีเงื่อนไขพิเศษแบบซาอุดีอาระเบีย และนี่จะเป็นหนทางที่สดใสสำหรับการเดินไปสู่จุดหมายในข้อตกลงปารีส รวมทั้งเป้าหมายของในทวีปอเมริกาเหนือที่ 3 ประเทศประกอบด้วยเม็กซิโก แคนาดา และสหรัฐอเมริกาได้กำหนดร่วมกัน
ประเทศทั้งสามให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 50% ภายในปี 2025 แคนาดากำลังทำได้ตามเป้าหมาย ขณะที่เม็กซิโกกำลังเร่งเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน การประมูลครั้งล่าสุดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ส่วนสหรัฐอเมริกายังคงตามหลังเพื่อนอยู่
ข้อมูลและภาพจาก ectrek.co, inhabitat