“มัมมี่” ศิลปะการรักษาสภาพศพที่หายสาบสูญไปพร้อมกับอารยธรรมอันยิ่งใหญ่

สำหรับใครหลายคน “มัมมี่” อาจทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยงและน่ากลัว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีภาพยนตร์แนวสยองขวัญได้ใช้จินตนากรเกี่ยวกับมัมมี่มาเขย่าขวัญให้ผู้ชมกลัวมันมี่ไปตามๆกัน แต่ในสมัยโบราณมัมมี่เป็นศิลปะการรักษาสภาพศพให้คงอยู่เหมือนเดิมนับพันปีโดยมีกระบวนการอันซับซ้อนและพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของผู้คนในสมัยนั้น น่าเสียดายที่มันได้หายสาบสูญไปพร้อมกับอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ในอดีตเสียแล้ว

 
มัมมี่ที่เก่าแก่ที่สุดพบที่ไหน

mummification-2

คนส่วนใหญ่รู้จักมัมมี่ว่าเป็นของชาวอียิปต์โบราณ แต่จริงๆแล้วมัมมี่มีมาก่อนยุคอารยธรรมอียิปต์โบราณเป็นพันปี มัมมี่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ตั้งใจทำขึ้นมาถูกขุดพบที่หุบเขา Camarones ทางตอนเหนือของประเทศชิลีในแถบทะเลทรายอาตากามาซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีฝนตกน้อยมากเป็นหนึ่งในสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก มัมมี่ถูกพบเมื่อปี 1917 โดยนักโบราณคดีชาวเยอรมัน Max Uhle มัมมี่ดังกล่าวเป็นของชาว Chinchorro ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่เมื่อราว 9,000 – 3,000 ปีก่อน ตั้งรกรากอยู่ที่บริเวณระหว่างตอนใต้ของประเทศเปรูกับตอนเหนือของประเทศชิลี

ชาว Chinchorro เริ่มทำมัมมี่เมื่อราว 7,000 ปีที่แล้วก่อนหน้ามัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดถึงเกือบสองพันปี กระบวนการทำมัมมี่ของชาว Chinchorro เริ่มจากเอาเนื้อเยื่ออ่อนและอวัยวะภายในรวมทั้งสมองออกมา จากนั้นร่างกายกลวงก็ถูกทำให้แห้ง ผิวถูกอัดแน่นด้วยผักและหญ้าแห้ง หน้ากากดินถูกวางบนใบหน้าของศพโดยมักมีมวยผมติดอยู่ด้วย สุดท้ายก็ทาสีมัมมี่ที่ทำเสร็จแล้ว ในช่วงแรกเมื่อราว 7,000 – 4,500 ปีก่อนมัมมี่ถูกทาสีด้วยแมงกานีสสีดำ ต่อมาจึงมีการใช้ดินสีน้ำตาลแดง (Red Ochre) มาใช้ทามัมมี่แทนแมงกานีสดำ ชาว Chinchorro ไม่ได้มีการทำมัมมี่ในเฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้น แต่พวกเขาทำในทุกชนชั้นทั้งทารก เด็ก และผู้ใหญ่ รวมไปถึงทารกในครรภ์

 
มัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณ

mummification-3

การทำมัมมี่มีความซับซ้อนมากขึ้นเป็นลำดับจนมาถึงสมัยอียิปต์โบราณได้มีการพัฒนาถึงขีดสุดมีความซับซ้อนและรายละเอียดมากที่สุด มัมมี่อียิปต์ตัวแรกตามบันทึกทางโบราณคดีปรากฏขึ้นเมื่อราว 5,500 ปีก่อนในยุคอาณาจักรเก่าหรือในสมัยพีระมิดเมื่อราว 4,700 – 4,200 ปีก่อน การทำมัมมี่เป็นเรื่องสำคัญที่ยึดมั่นกันในสังคมอียิปต์ และยิ่งทวีความสำคัญและเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นไปอีกในยุคอาณาจักรใหม่ (ระหว่าง 1,550 – 1,070 ปีก่อนคริสต์ศักราช) การทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณมักถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงของสังคมเท่านั้น เช่น ราชวงศ์ ขุนนาง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้มั่งคั่ง คนทั่วไปไม่ค่อยได้ทำมันมี่เพราะการทำมีราคาแพงมาก

การทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง ชาวอียิปต์โบราณเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายอย่างฝังแน่น พวกเขาเชื่อว่ามีอีกชีวิตหนึ่งหลังจากชีวิตบนโลกนี้ แม้ว่าชีวิตบนโลกจะหมดสิ้นไปแล้วแต่วิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ และวิญญาณต้องเดินทางไปพบกับ “โอซิริส” เทพเจ้าแห่งความตายเพื่อรับการพิพากษาว่าจะได้อยู่กับทวยเทพบนสรวงสรรค์นิรันดรหรือไม่ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวิญญาณในการเดินทางครั้งสำคัญนี้จำเป็นต้องรักษาสภาพร่างกายอันเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้นวิญญาณอาจล่องลอยหายไปไม่มีโอกาสไปอยู่บนสวรรค์ นี่คือเหตุผลที่ชาวอียิปต์ให้ความสำคัญกับการทำมัมมี่และดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวังพิถีพิถัน

 
กระบวนการทำมัมมี่ของอียิปต์

mummification-4

การทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณมีกระบวนการ พิธีกรรม มีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากและต้องใช้เวลาถึง 70 วัน ผู้ที่จะทำมัมมี่ได้ต้องเป็นนักบวชที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ นอกเหนือจากการรู้ถึงพิธีกรรมและการสวดอ้อนวอนที่ถูกต้องในขั้นตอนต่างๆแล้ว นักบวชยังต้องรู้รายละเอียดเกี่ยวกับกายวิภาคของมนุษย์อีกด้วย ขั้นตอนแรกเริ่มจากการนำชิ้นส่วนอวัยวะภายในทั้งหมดออกมาก่อน สมองจะถูกนำออกมาอย่างระมัดระวังโดยการใส่เครื่องมือพิเศษคล้ายตะขอเข้าไปในรูจมูกเพื่อดึงเนื้อเยื่อสมองออกมา เป็นขั้นตอนการทำงานที่ละเอียดอ่อนมากเพราะอาจทำให้ใบหน้าเสียโฉมได้ง่าย ถัดมาเป็นการเอาอวัยวะภายในช่องท้องและหน้าอกออกมาโดยการผ่าตรงบริเวณด้านซ้ายของช่องท้อง พวกเขาจะเหลือเฉพาะหัวใจไว้ที่เดิมเพราะเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของความเป็นอยู่และความฉลาดของมนุษย์ อวัยวะภายในจะถูกทำให้แห้งแล้วไปเก็บรักษาแยกกัน กระเพาะอาหาร ตับ ปอด และลำไส้ ถูงวางอยู่ในกล่องหรือขวดพิเศษที่เรียกว่า Canopic Jars ซึ่งจะถูกนำไปฝังรวมกับร่างของมัมมี่ในขั้นตอนสุดท้าย

หลังจากนั้นนักบวชก็จะทำการเอาความชื้นทั้งหมดออกจากร่างศพ พวกเขาจะคลุมศพด้วยแร่เนทรอน (Natron) ซึ่งเป็นเกลือชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการทำให้แห้งได้อย่างดีเยี่ยมและยังนำถุงใส่เนทรอนยัดเข้าไปภายในศพด้วย เมื่อครบกำหนด 70 วันนักบวชจะนำถุงเนทรอนออกจากภายในศพและทำการล้างเนทรอนที่ติดอยู่กับศพออกเบาๆ ผลที่ได้ในตอนนี้คือร่างของมนุษย์ที่แห้งมากๆ เพื่อให้มัมมี่มีลักษณะเหมือนมีชีวิตมากขึ้นพวกเขาจะใช้ผ้าลินินและวัสดุอื่นๆเติมเต็มตรงบริเวณที่ยุบบุ๋มลงไปและใส่ดวงตาปลอม จากนั้นถึงเป็นขั้นตอนการห่อศพ นักบวชจะทำการพันผ้าลินินอย่างระมัดระวังไปรอบๆร่างกาย บางครั้งก็พันแยกนิ้วมือนิ้วเท้าแต่ละข้างก่อนจะพันมือและเท้าทั้งหมด ในระหว่างการห่อศพจะมีการวางเครื่องรางหรือผ้าที่ลงอักขระและเวทมนตร์พร้อมกับการสวดอธิษฐานเพื่อปกป้องศพมิให้เกิดเหตุร้าย อาจมีการวางหน้ากากใบหน้าของบุคคลนั้นในระหว่างชั้นของการพันผ้ารอบศีรษะ ผ้าห่อศพจะถูกทาเคลือบด้วยยางไม้หลายชั้นเพื่อให้ผ้ายึดติดแน่น เมื่อห่อผ้าชั้นสุดท้ายเสร็จสิ้นก็ถือว่าการทำมัมมี่เสร็จสมบูรณ์

mummification-5

ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการนำร่างมัมมี่ไปวางในหลุมฝังศพที่ส่วนใหญ่มีการเตรีียมพร้อมสร้างไว้ตั้งแต่ก่อนการเสียชีวิต มีสิ่งของหลายอย่างถูกนำไปจัดวางไว้ในหลุมฝัพศพ สิ่งของเหล่านี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตหลังความตายตามความเชื่อทางศาสนา การดำเนินการทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการใช้เวทมนตร์คาถาเพื่อให้แบบจำลอง รูปภาพ และข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างกลายเป็นของจริงในชีวิตหลังความตาย เมื่อทุกอย่างพร้อมก็จะเริ่มทำพิธีกรรมสุดท้ายตรงปากทางเข้าสุสานคือ “พิธีเปิดปาก” นักบวชจะสัมผัสมัมมี่ที่ส่วนต่างๆด้วยเครื่องมือพิเศษเพื่อ “เปิด” ส่วนต่างๆของร่างกายเหล่านั้นให้กลับมามีความรู้สึกอีกครั้งในชีวิตหลังความตาย สุดท้ายนักบวชจะใช้เครื่องมือพิเศษนั้นสัมผัสที่ปากมัมมี่เพื่อให้เขาสามารถพูดและกินได้ ถึงตอนนี้เขาก็พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางไปสู่ชีวิตหลังความตาย ร่างมัมมี่ที่นอนอยู่ในโลงที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามถูกนำไปวางในหลุมฝังศพและทางเข้าถูกปิดตายเป็นอันเสร็จพิธี

 
สาบสูญเมื่อสิ้นสุดอารยธรรม

หลังยุคอาณาจักรใหม่อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มเสื่อมถอย ราว 670 ปีก่อนคริสต์ศักราชอียิปต์ถูกจักรวรรดิอัสซีเรีย (Assyrian Empire) ยึดครองเป็นช่วงเวลาสั้นๆก่อนจะขับไล่ออกไปได้ ต่อมาในราว 525 ปีก่อนคริสต์ศักราชอียิปต์ถูกกองทัพเปอร์เซียรุนรานและพ่ายแพ้สงครามตกอยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซีียอย่างยาวนานกว่าศตวรรษ 332 ปีก่อนคริสต์ศักราชพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) แห่งอาณาจักรกรีกโบราณทำสงครามเอาชนะอียิปต์และส่งข้าหลวงมาปกครองอียิปต์อันนำไปสู่การก่อตั้งราชวงศ์ทอเลมีอันเป็นราชวงศ์สุดท้ายแห่งอารยธรรมอียิปต์โบราณซึ่งปกครองอียิปต์นานเกือบ 3 ศตวรรษ

เมื่ออาณาจักรโรมันเรืองอำนาจได้แผ่ขยายอิทธิพลมาถึงอียิปต์ 30 ปีก่อนคริสต์ศักราชกองทัพโรมันสามารถเอาชนะกองทัพอียิปต์ที่นำโดยมาร์ค แอนโทนีและพระนางคลีโอพัตราได้สำเร็จ ราชวงศ์สุดท้ายของอียิปต์โบราณจึงสิ้นสุดลง ต่อมาศาสนาคริสต์ได้หยั่งรากลงในอียิปต์ทำให้วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อต่างๆเปลี่ยนแปลงไป ศิลปะการทำมัมมีของชาวอียิปต์โบราณก็หายสาบสูญตามไปด้วย แม้ว่าถึงปัจจุบันได้มีการขุดพบมัมมีในประเทศอียิปต์จำนวนมากแล้วก็ตาม แต่การขุดค้นก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกอย่างต่อเนื่องเพราะนักโบราณคดีเชื่อว่ายังคงมีหลุมฝังศพและมัมมี่พร้อมข้าวของเครื่องใช้และทรัพย์สินล้ำค่าอีกมากที่ยังหาไม่พบ รวมทั้งหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อีกหลายต่อหลายคน อย่างเช่น ราชินีเนเฟอร์ติติ
เป็นต้น

 

ข้อมูลและภาพจาก livescience, si.edu, mylearning.org

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *