การทำ Recomposition ใช้พลังงานน้อยกว่าการเผาศพ 8 เท่าและไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากเหมือนกับการเผา และไม่มีความเสี่ยงที่สารฟอร์มาลีนและสารพิษอื่นจากศพที่อาจไหลไปรวมกับน้ำใต้ดินเหมือนกับการฝังศพ รวมทั้งไม่ต้องใช้ที่ดินจำนวนมากสำหรับเป็นสุสานซึ่งนับวันจะหายากมากโดยเฉพาะในเมืองใหญ่
“Recomposition เป็นทางเลือกใหม่แทนการเผาหรือฝัง เป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติ, ปลอดภัย, ยั่งยืน รวมทั้งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและการใช้ที่ดิน” Katrina Spade ผู้อยู่เบื้องหลังวิธีจัดการซากศพมนุษย์แบบใหม่นี้กล่าว “แนวคิดของการกลับไปสู่ความเป็นธรรมชาติโดยตรงและการกลับไปสู่วงจรชีวิตและการตายแบบธรรมชาติเป็นสิ่งที่สวยงาม”
Spade ได้แบบจำลองของการทำ Recomposition จากวิธีที่เกษตรกรใช้ในการกำจัดปศุสัตว์ที่ทำกันมานานแล้ว แต่เธอได้ปรับแต่งกระบวนการและพบว่าส่วนผสมของเศษไม้, หญ้าอัลฟัลฟ่า และฟางได้สร้างไนโตรเจนและคาร์บอนที่ช่วยเร่งการสลายตัวตามธรรมชาติเมื่อซากศพถูกวางไว้ในภาชนะหมุนซึ่งถูกควบคุมอุณหภูมิและความดันให้เหมาะสม ภายในเวลา 30 วันจุลินทรีย์ก็จัดการย่อยสลายจนเสร็จสมบูรณ์ เธอได้ทำโครงการทดลองที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเสตตกับศพของผู้บริจาค 6 คน
“ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งกระดูกและฟันถูกจัดการเรียบร้อย” Spade กล่าว “นั่นเป็นเพราะว่าระบบของเราได้สร้างสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับจุลินทรีย์ในการย่อยสลายทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว”
ปี 2017 Spade จัดตั้งบริษัท Recompose เพื่อนำแนวคิดนี้ไปสู่การปฏิบัติจริง บริษัท Recompose ได้รับเงินทุนเพิ่มเกือบ 7 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานในเมืองซีแอตเทิลและเริ่มที่จะขยายกิจการไปยังที่อื่น คาดว่าค่าใช้จ่ายสำหรับบริการ Recomposition จะสูงกว่าการเผาศพเล็กน้อย แต่จะต่ำกว่าค่าบริการสำหรับการฝังศพ
“ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายในเรื่องการจัดการศพมาเป็น 100 ปีแล้ว” Rob Goff ผู้อำนวยการของสมาคมจัดการศพแห่งรัฐวอชิงตันกล่าว “ตอนนี้เราจะเป็นผู้นำร่องเอง”
ข้อมูลจาก qz, telegraph.co.uk